เมื่อวันที่ 17 มกราคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศล เป็นวันที่ 42 โดยในเวลา 10.30 น. ศ.อุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการมูลนิธิ ตึก สก.ในพระบรมราชูปถัมภ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และประธานบริหารพีระยานุเคราะห์มูลนิธิ ในพระอุปถัมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นประธานถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรม จำนวน 8 รูป จากวัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร และวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร สวดพระอภิธรรม โดยมีคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และพนักงาน พีระยานุเคราะห์มูลนิธิ ในพระอุปถัมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี , มูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์, มูลนิธิ ตึก สก.ในพระบรมราชูปถัมภ์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ
ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ในฐานะประธานมูลนิธิตึก สก. ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า วันนี้รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ภาคเอกชนได้เป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลพระบรมศพ โดยส่วนตัวมีความปลาบปลื้มใจต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีมากมายตลอดการทรงงาน 70 ปีแห่งการครองราชย์ โดยเฉพาะที่ประทับใจที่สุด คือในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา 8 ปี มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา เมื่อปีพ.ศ. 2530 พร้อมกับ นายกรัฐมนตรีและประธานศาลฎีกา นอกจากนี้ ส่วนตัวและท่านผู้หญิงมณฑินี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานน้ำสังข์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กระทั่งเมื่ออายุ 60 ปี ก็ยังได้รับพระราชทานน้ำสังข์จากทั้งสองพระองค์อีกเช่นกัน โดยครั้งนี้ทรงมีรับสั่งว่า ดร.อุกฤษและท่านผู้หญิงมณทินี มีบุญมากได้ทำบุญใหญ่เพราะได้สร้างตึก สก. ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
“สำหรับในส่วนของพระบรมราโชวาทที่ตัวเองน้อมนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต นอกจากหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่มีคนจำนวนมากนำไปปฏิบัติอยู่แล้วนั้น ยังนำคำสอนในข้อรู้รักสามัคคีมาใช้ด้วย เพราะถือว่าเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญต่อทุกๆ ด้าน รวมถึงความเมตตาต่อกันไม่เบียดเบียนกัน ทั้งกายและวาจา ไม่ทำให้ให้คนอื่นเดือดร้อน สังคมจะอยู่เป็นสุข” ศ.ดร.อุกฤษ เผย
http://www.matichon.co.th/news/430612